Jurassic World Rebirth เป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของแฟรนไชส์ไดโนเสาร์ที่ยาวนานนี้ โดยพยายามกลับไปสู่กลิ่นอายของภาพยนตร์สยองขวัญเชิงเอาชีวิตรอดที่ทำให้ Jurassic Park (1993) ประสบความสำเร็จอย่างสูง กำกับโดย กาเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส์ (Gareth Edwards) และได้ เดวิด เคิปป์ (David Koepp) ผู้เขียนบท Jurassic Park ต้นฉบับกลับมาเขียนบท ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็น ภาคที่ 4 ในชุด Jurassic World และเป็น ภาคที่ 7 โดยรวมในแฟรนไชส์

คะแนนและกระแสวิจารณ์โดยรวม
ภาพยนตร์ได้รับคำวิจารณ์ในแง่ “ผสมปนเป” (Mixed) ค่อนไปทาง “เป็นบวกพอใช้” โดยนักวิจารณ์ชื่นชมการกลับไปสู่ความสยองขวัญและฉากแอ็คชันที่น่าตื่นเต้น แต่ติเรื่องตัวละครที่เบาบางและบทภาพยนตร์ที่ซ้ำซาก:
- Rotten Tomatoes: ประมาณ
- บทสรุปจากนักวิจารณ์ (Critics Consensus): “ด้วยการกลับไปสู่พื้นฐานพร้อมฉากแอ็คชันที่ตื่นเต้นและถ้อยคำที่ล้าสมัยจนเป็นซากดึกดำบรรพ์ Jurassic World Rebirth ไม่ได้พัฒนาแฟรนไชส์ยุคก่อนประวัติศาสตร์นี้ แต่ได้ฟื้นฟูดีเอ็นเอที่เชื่อถือได้บางส่วนของมันกลับคืนมา”
- Metacritic: ประมาณ 52/100 (อยู่ในระดับ “ผสมปนเปหรือเฉลี่ย”)
- IMDB: ประมาณ (ค่อนข้างต่ำสำหรับมาตรฐานของแฟรนไชส์)

เรื่องย่อโดยละเอียด (Plot Summary)
ช่วงเริ่มต้น: เกาะที่ถูกทิ้งร้าง (2008 & 2025)
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในปี 2008 บน เกาะอิเลแซงต์อูเบิร์ต (Île Saint-Hubert) ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการลับของ อินเจน (InGen) ที่ใช้ในการทดลองสร้างไดโนเสาร์กลายพันธุ์ (Transgenic and Mutated Dinosaurs) ที่อันตรายเกินกว่าจะนำไปจัดแสดงในสวนสนุก ความผิดพลาดของพนักงานคนหนึ่งทำให้ “ดิสทอร์ทัส เร็กซ์” (Distortus rex) ซึ่งเป็น T-Rex กลายพันธุ์ที่มีหกขา หลุดรอดออกมาและทำลายศูนย์วิจัยจนพนักงานต้องอพยพทิ้งเกาะไป
17 ปีต่อมาในปี 2025 ห้าปีหลังเหตุการณ์ Jurassic World Dominion ไดโนเสาร์ส่วนใหญ่บนโลกเริ่มอยู่รอดได้ยากเนื่องจากภูมิอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย มีเพียงไดโนเสาร์จำนวนหนึ่งที่อาศัยอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตร
ภารกิจสกัดดีเอ็นเอ
มาร์ติน เคร็บส์ (Martin Krebs – Rupert Friend) ผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทเภสัชกรรม “พาร์คเกอร์-จีนิกซ์” (Parker-Genix) ได้ว่าจ้าง โซรา เบ็นเน็ตต์ (Zora Bennett – Scarlett Johansson) อดีตเจ้าหน้าที่ภาคสนามให้เป็นผู้นำทีมปฏิบัติการลับไปยังเกาะอิเลแซงต์อูเบิร์ต เพื่อ สกัดตัวอย่างทางชีวภาพ (Biomaterial Samples) จากไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ 3 สายพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนเกาะ:
- โมซาซอรัส (Mosasaurus) (สัตว์ทะเล)
- ไททาโนซอรัส (Titanosaurus) (สัตว์บกขนาดยักษ์)
- เควตซัลโคตลัส (Quetzalcoatlus) (สัตว์ปีก)
ดีเอ็นเอของสัตว์เหล่านี้เชื่อว่าเป็นกุญแจสำคัญในการสังเคราะห์ยาที่สามารถรักษา โรคหัวใจ ซึ่งเป็นสาเหตุการตายอันดับต้น ๆ ของมนุษย์ และนำมาซึ่งผลกำไรมหาศาล
การเผชิญหน้าบนเกาะและครอบครัวเดลกาโด
ทีมของโซราออกเดินทางพร้อมกับ ดร. เฮนรี่ ลูมิส (Dr. Henry Loomis – Jonathan Bailey) นักบรรพชีวินวิทยาผู้กระตือรือร้น และ ดันแคน คินเคด (Duncan Kincaid – Mahershala Ali) กัปตันเรือและคู่หูเก่าของโซรา
ระหว่างทาง เรือของพวกเขาได้ช่วยเหลือ ครอบครัวเดลกาโด (Delgado Family) ซึ่งเรือถูกทำลายโดยโมซาซอรัส ประกอบด้วย รูเบ็น (Reuben), ลูกสาว เทเรซา (Teresa) และ อิซาเบลลา (Isabella) และแฟนหนุ่มของเทเรซา ซาเวียร์ (Xavier) ทั้งสองกลุ่มต้องติดอยู่บนเกาะที่เต็มไปด้วยสัตว์อันตราย
บทวิจารณ์และสปอยล์สำคัญ (Spoilers)
จุดเด่น: กลับสู่ความสยองขวัญและงานภาพ
- ไดโนเสาร์ที่น่ากลัวอีกครั้ง: ผู้กำกับกาเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส์ นำเสนอไดโนเสาร์ในฐานะ สัตว์ป่าที่แท้จริง และ สิ่งที่น่าสะพรึงกลัว อีกครั้ง ฉากที่ T-Rex ไล่ล่าครอบครัวเดลกาโดในแม่น้ำ และฉากการล่าของ โมซาซอรัสที่ร่วมมือกับฝูงสไปโนซอรัส (Spinosaurus) ให้ความรู้สึกแบบภาพยนตร์ Jaws และมีความโหดร้ายกว่าภาคก่อน ๆ
- “ดิสทอร์ทัส เร็กซ์” และมิวทาดอน: ตัวร้ายที่น่ากลัวที่สุดคือ Distortus rex (D-Rex) และ มิวทาดอน (Mutadons) ซึ่งเป็นแร็พเตอร์/เทอโรซอร์กลายพันธุ์ที่ดูน่าเกลียดน่ากลัว พวกมันทำหน้าที่เป็นสัตว์ประหลาดที่ดุดันและสร้างความตื่นเต้นได้
- การถ่ายทำที่ยอดเยี่ยม: ฉากที่ ไททาโนซอรัส ปรากฏตัวถูกยกย่องว่าเป็นการถ่ายทำที่สวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุดในแฟรนไชส์นี้ นับตั้งแต่ฉากแรกของ Brachiosaurus ในปี 1993
จุดวิจารณ์: ตัวละครและบทสรุป
- ตัวละครที่ไร้มิติ: นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ชี้ว่าภาพยนตร์มีตัวละครที่ เยอะเกินไป (Overstuffed) และ เบาบาง (Paper-Thin) แม้จะมีนักแสดงระดับคุณภาพอย่าง สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน และ มาเฮอร์ชาลา อาลี มารับบท แต่บทบาทของพวกเขาก็ยังคงเป็นเพียงแม่แบบของตัวละครประเภท “ทหารรับจ้าง” และ “นักวิทยาศาสตร์ผู้กระตือรือร้น” เท่านั้น
- ครอบครัวที่เข้ามาแทรก: ครอบครัวเดลกาโดถูกวิจารณ์ว่าถูกใส่เข้ามาเพียงเพื่อให้มีเหยื่อและสร้างฉากแอ็คชัน โดยที่ไม่ได้มีความสำคัญต่อพล็อตเรื่องหลักอย่างมีนัยสำคัญ
- บทสรุปที่คาดเดาได้:
- ความขัดแย้งทางจริยธรรม: ภาพยนตร์จบลงด้วยความขัดแย้งระหว่างการนำดีเอ็นเอไปขายให้บริษัทเภสัชกรรมเพื่อกำไรมหาศาล (ตามแผนของ มาร์ติน เคร็บส์) หรือการนำไปใช้เพื่อมนุษยชาติอย่างเปิดเผย (ตามอุดมการณ์ของ ดร. ลูมิส) โซราตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้อง โดยการทำให้ดีเอ็นเอเป็น โอเพนซอร์ส (Open Source) เพื่อช่วยเหลือทุกคนโดยไม่หวังผลตอบแทน ซึ่งเป็นข้อสรุปทางศีลธรรมที่คาดเดาได้
- การเสียสละของดันแคน (Spoiler): ในฉากไคลแม็กซ์ ดันแคน คินเคด ตัดสินใจ เสียสละตัวเอง โดยใช้พลุเพื่อล่อ Distortus rex ให้หนีห่างจากเรือ เพื่อให้โซราและคนอื่น ๆ หนีรอดไปได้ แม้จะดูเหมือนเขาตายในตอนแรก แต่ฉากสุดท้ายเผยว่าเขา รอดชีวิต และกลับมารวมกับทีมได้ในที่สุด ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จที่ลดทอนความเสี่ยงลง
ตัวอย่างหนัง
สรุป
Jurassic World Rebirth เป็นการพยายามอย่างหนักที่จะ “รีบูต” จิตวิญญาณของแฟรนไชส์กลับสู่ความตื่นเต้นและความสยองขวัญแบบเดิม ๆ งานภาพที่สวยงามและฉากแอ็คชันของไดโนเสาร์ที่น่ากลัวนั้นทำได้ดีเยี่ยมภายใต้การกำกับของกาเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส์ แต่ความล้มเหลวในการสร้างตัวละครที่น่าจดจำและบทภาพยนตร์ที่ยังคงอยู่ในกรอบเดิม ๆ ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำได้เพียง “ฟื้นฟู” สิ่งที่สูญเสียไปบางส่วนเท่านั้น ไม่ใช่การ “เกิดใหม่” อย่างแท้จริง
คำแนะนำ: เป็นภาพยนตร์ที่ควรดูในโรงภาพยนตร์เพื่อฉากไดโนเสาร์ที่อลังการ แต่ไม่ใช่จุดสูงสุดของแฟรนไชส์นี้